Monthly Archives: July 2012

Due Date(2011)


ปีเตอร์ ไฮแมน(โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์)กำลังเดินทางกลับ LA เพื่อไปให้ทันซารา(มิเชล โมนาฮาน)คลอดลูก เพื่อนของอีธาน เทรมเบลย์(แซ็ค กาลิฟินาสกี)ขับรถชนประตูรถของปีเตอร์เตอร์ที่หน้าสนามบิน อีธานกับปีเตอร์สลับซองใส่ของกันจนปีเตอร์เกือบถูกจับเพราะในซองมีบ้องสูบกัญชา ปีเตอร์เจอกับอีธานอีกครั้งบนเครื่อง อีธานชวนคุยเรื่องระเบิดจนปีเตอร์ถูกยิงด้วยกระสุนยางเพราะเจ้าหน้าที่เข้าใจผิดคิดว่าปีเตอร์เป็นพวกก่อการร้าย อีธานกับปีเตอร์ถูกสั่งห้ามบินกระเป๋าของปีเตอร์อยู่บนเครื่องและกระเป๋าสตางค์ก็ถูกยึด

อีธานเช่ารถมาชวนปีเตอร์ร่วมทางไปด้วย ปีเตอร์จำเป็นต้องยอม อีธานเพิ่งเสียพ่อเอาอัฐิพ่อใส่กระป๋องกาแฟติดตัวไปด้วยพร้อมกับหมาอีกตัว อีธานตั้งใจจะไปฮอลลีวูดเพื่อคัดตัวเป็นนักแสดง ระหว่างทางอีธานก็สร้างปัญหาให้ปีเตอร์ไปเรื่อยๆตั้งแต่แวะซื้อกัญชาจนเงินเกือบหมด ปีเตอร์ให้ซาราโอนเงินเข้าบัญชีอีธานปรากฎว่าชื่อที่อีธานบอกเป็นชื่อที่ใช้ในวงการ ชื่อจริงคืออีธาน เชส ปีเตอร์มีเรื่องกับคนพิการที่เป็นทหารผ่านศึก ทั้งคู่จอดรถนอนหน้าห้องน้ำ ตอนเช้าระหว่างที่อีธานเข้าห้องน้ำปีเตอร์ขนของอีธานลงจากรถและขับรถหนีไปแต่ระหว่างทางเจอกระป๋องอัฐิพ่ออีธานเลยต้องวนรถกลับมาหาอีธาน อีธานหลับในจนรถเกิดอุบัติหตุ ปีเตอร์แขนหักแต่อีธานไม่เป็นไร

ปีเตอร์โทรเรียกแดรีล(เจมี ฟ็อกซ์)มารับ แดรีลพูดจนปีเตอร์ยอมพาอีธานไปด้วย ที่บ้านของแดรีลอีธานตั้งข้อสังเกตว่าซารากับแดรีลอาจจะมีอะไรกันและเด็กในท้องซาราอาจจะไม่ใช่ลูกปีเตอร์ แดรีลชงกาแฟอัฐิพ่ออีธาน พอรู้ตัวรีบไปเอาออกจากเครื่องอีธานเกิดล้มทำอัฐิหกปีเตอร์ช่วยอีธานเก็บ ปีเตอร์กับอีธานยืมรถแดรีล อีธานสูบกัญชาจนปีเตอร์เมาไปด้วยจนหลงมาถึงด่านชายแดนเม็กซิโกปีเตอร์ถูกจับ อีธานอุ้มหมากับอัฐิพ่อหนีไปแล้วก็ขโมยรถมาช่วยปีเตอร์

ระหว่างที่อีธานหลับปีเตอร์ขับรถไปที่แกรนด์แคนยอนเพื่อให้อีธานได้โรยอัฐิพ่อ<<<ตอนแรกปีเตอร์ไม่ยอมแวะเพราะทำให้เสียเวลา อีธานสารภาพว่าจริงๆแล้วแอบขโมยกระเป๋าสตางค์ของปีเตอร์มาจากสนามบิน ปีเตอร์โกรธมากระหว่างที่กำลังซ้อมอีธานซาราโทรมาบอกว่าจะคลอดแล้ว ปีเตอร์กำลังอีธานก็สร้างเรื่องอีกครั้งคราวนี้อีธานเจอปืนในลิ้นชักหน้ารถ อีธานทำปืนลั่นยิงถูกขาปีเตอร์ ปีเตอร์ไม่ยอมหยุดสั่งให้อีธานรีบพาไปหาซารา

พอถึงโรงพยาบาลปีเตอร์สลบก่อนซาราคลอด อีธานได้เป็นคนตัดสายสะดือ อีธานลาปีเตอร์ไปคัดตัวและปีเตอร์สัญญาว่าจะอีเมลล์หา ตัดไปที่ปีเตอร์กับครอบครัวดู Two and a half men ที่อีธานได้เล่นซาราชมว่าอีธานเล่นดี มาก แล้วอีธานก็โทรหาปีเตอร์ตามสัญญา….จบ

หนังดีมาก ได้ทุกรสชาติ ตลก ดรามา แอดชัน พล็อตเรื่องง่ายๆแต่ทำออกมาดี บทดีมาก  ตลกในความเพี้ยนของอีธาน ฮาสุดๆตอนปีเตอร์ถามว่าทำไมเอาอัฐิพ่อใส่ในกระป๋องกาแฟ อีธานบอกอาย่างภูมิใจว่ากระป๋องกาแฟเป็นสุญญากาศ ปีเตอร์บอกแล้วรู้มั้ยว่าพอเปิดมันก็ไม่เป็นสุญญากาศแล้ว อีธานตอบหน้าตายว่านี่เป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจที่สุด<<< 55555 และอีกหลายๆซีนต้องฟังซาวนด์แทรคจะได้อารมณ์มาก

จริงๆปีเตอร์รู้ว่าอีธานมีพรสวรรค์ด้านการแสดง ตอนปีเตอร์ให้อีธานลองแสดงให้ดูในห้องน้ำอีธานเล่นได้ดีมาก หนังเข้าใจปูเรื่องไว้ตอนที่ปีเตอร์ถูกยิงสั่งให้อีธานรับบททหารรีบพาไปหาซาราที่โรงพยาบาล อีกตอนที่น่าประทับใจคือปีเตอร์พาอีธานไปแกรนด์แคนยอนทั้งที่ตอนแรกบอกปีเตอร์ไม่อยู่ในแผน

 

 

 

Independence Day(1996)

 

ก่อนวันชาติสหรัฐฯจานบินขนาดยักษ์ถูกส่งมาตามเมืองสำคัญๆของโลก โธมัส(บิล พูลแมน)ประธานาธิบดีสหรัฐเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้อง เดวิด(เจฟ โกลด์บลัม)อดีตสามีของเลขาประธานาธิบดีจับสัญญาณของเอเลียนได้เลยชวนพ่อไปขอพบประธานาธิบดีเรื่องที่เอเลียนจะบุกยึดโลก ประธานาธิบดีสั่งอพยพแล้วไปที่ Area51 ฐานทัพลับในภูเขาที่แม้แต่ประธานาธิบดีก็ยังไม่รู้ ที่นั่นมียานของเอเลียนที่ถูกส่งมาตั้งแต่ยุค 50 แต่ยังใช้การได้อยู่พร้อมกับซากเอเลียนที่ตายแล้วและเพิ่งตาย

ผู้กองสวีเวน(วิล สมิท)รับหน้าที่ขับเครื่อง F18 โจมตีจานบินแต่จานบินมีเกราะป้องกันไม่สามารถทำลายได้ จานบินส่งยานลูกมาไล่ล่าจนเหลือเครื่องบินของสตีเวนแค่ลำเดียว สตีเวนจับเอเลียนได้พากลับไปที่ฐานทัพ Area 51 เอเลียนถูกนำไปผ่าแต่เอเลียนยังไม่ตายฆ่านักวิทยาศาสตร์และใช้เป็นตัวกลางสื่อสารกับประธานาธิบดีว่าจะยึดโลก(เอเลียนไม่มีเส้นเสียง) แฟนของสตีเวนพาลูกชายหนีและรอดชีวิตได้ช่วยสตรีหมายเลขหนึ่งไว้แต่เลือดตกในสุดท้ายก็ไม่รอด สตีเวนขโมยฮ.กลับไปรับแฟนกลับมาได้

พ่อของเดวิดทำให้เดวิดคิดเรื่องไวรัสออก แผนคือจะใช้ยานของเอเลียนเข้าไปในยานแม่แล้วแพร่ไวรัสเพื่อปิดเกราะป้องกันจากนั้นก็โจมตีทางอากาศ ประธานาธิบดีอนุมัติแผน สตีเวนแต่งงานก่อนจะปฏิบัติภารกิจ เดวิดดีกับอดีตภรรยา ประธานาธิบดีขึ้นบินเองเพราะเคยเป็นทหารอากาศมาก่อน ทหารประกาศหานักบินเพราะมีนักบินไม่เพียงพอ รัสเซล(แรนดี เควด)อดีตนักบินที่เคยร่วมรบที่เวียดนามแต่บัจจุบันเป็นคนขี้เมารับจ้างบินพ่นยาฆ่าแมลงอาสาช่วยชาติ

สตีเวนกับเดวิดถูกยานแม่ดูดเข้าไปและปล่อยไวรัสได้สำเร็จ ประธานาธิบดีสั่งยิงมิสซายน์แต่จำนานมิสซายน์มีจำกัด พอเข้าไปเกือบถึงใจกลางของจานบินมิสซายน์ของรัสเซลเกิดยิงไม่ออก รัสเซลเลยพลีชีพขับเครื่องบินพุ่งเข้าชนจานบินจนระเบิด ก่อนตายรัสเซลฝากบอกลูกว่ารักลูกมากซึ่งลูกชายมาทันได้ยินพอดี สตีเวนกับเดวิดปล่อยมิสซายน์แล้วหนีออกมาทันก่อนที่ยานแม่จะระเบิด ประธานาธิบดีกลับมาอย่างปลอดภัย จากนั้นเรดาก็พบยานของเดวิดกับสตีเวน ตอนจบครอบครัวและประธานาธิบดีก็ไปรับเดวิดกับสตีเวน ทางสหรัฐส่งข่าวบอกวิธีให้ทั่วโลกต่อสู้กับจานบินได้สำเร็จ

 

 

 

 

I am Number Four(2011)


เริ่มเรื่องมาเล่าถึงหมายเลข 4 ชาวลอเรียนกับอีก 9 คนหนีมาอาศัยอยู่บนโลกถูกพวกม้อกตามล่าโดยไล่ฆ่าตามลำดับจนมาถึงหมายเลข 4 เฮนรี(ทิโมธี โอลีแฟนท์)คนดูแลเลยต้องเผาทำลายบ้านเดิมทิ้งก่อนจะพาหมายเลข 4 ย้ายบ้านหนีแล้วเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็นจอห์น สมิท(อเล็กซ์ เพททีเฟอร์) 

จอห์นเจอและตกหลุมรักกับซารา(ไดแอนนา อาร์กอน)ที่ชอบถ่ายภาพ จอห์นช่วยแซมเด็กเนิร์ดที่ถูกมาร์คแฟนเก่าของซารารังแก มัลคอลพ่อของแซมหายตัวไปเพราะคลั่งเรื่องมนุษย์ต่างดาว แซมคิดว่าพ่อถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป แต่จริงๆแล้วพ่อของแซมพยายามค้นหาและรวบรวมชาวลอเรียน จอห์นค้นพบโดยบังอิญว่าตัวเองมีพลัง(มีไฟออกมาจากมือ สามารถหยุดและควบคุมสิ่งของได้ด้วยพลังจิต)ซึ่งเฮนรีบอกว่าเป็นพลังที่วิเศษที่สุดในบรรดา 9 คน

พวกม้อกเริ่มแกะรอยจนรู้ว่าหมายเลข 4 ยังไม่ตาย จอห์นนัดเที่ยวกับซารา มาร์คมาหาเรื่องจนจอห์นใช้พลังทำให้ถูกคนเอาไปอัพโหลดลงเว็บ แซมแอบเห็นจอห์นใช้พลัง จอห์นยอมรับว่าตัวเองเป็นต่างดาว วันต่อมาพ่อของมาร์คที่เป็นตำรวจแวะไปถามจอห์นที่บ้านเรื่องที่จอห์นมีเรื่องกับพวกมาร์ค เฮนรีเริ่มไม่อยากให้มีคนมาวุ่นวายจะย้ายบ้านอีกรอบแต่จอห์นไม่ยอมเพราะหลงรักซารา เฮนรีบอกกับจอห์นว่าถ้ารักซาราจริงๆต้องสู้เพราะถ้าชาวลอเรียนรักใคร ความรักมันจะคงอยู่แบบนั้นตลอดไป

เฮนรีไปเคลียร์ลบคลิปจอห์นออกจากเว็บไซต์แต่ถูกจับตัวไว้ พวกนั้น(ทำงานให้ม้อก)ใช้โทรศัพท์ของเฮนรีเรียกให้จอห์นไปหา จอห์นให้แซมขับรถพาไป จอห์นช่วยเฮนรีออกมาได้แต่เฮนรีบาดเจ็บสาหัส ก่อนตายเฮนรีบอกให้จอห์นตามหาพวกที่เหลือเพราะอยู่รวมกันแกร่งกว่า ม้อกฆ่าพวกคนทำเว็บตาย ตำรวจออกข่าวว่าเฮนรีกับแซมเป็นพวกผู้ก่อการร้ายที่ฆ่าชำแหละเจ้าของเว็บ จอห์นไปหาซาราแต่มีคนแจ้งตำรวจ พอตำรวจมาถึงซาราเกือบตกจากหลังคาจอห์นใช้พลังช่วยไว้และพาซาราหนีไปด้วย

จอห์นกับซาราหนีไปที่โรงเรียน พวกม้อกตามมาแต่ได้หมายเลข 6 ที่มีพลังสร้างเกราะคุ้มกันมาช่วยไว้ แซมกลับไปเอาหินที่พ่อใช้ตามหาพวกลอเรียนมาพร้อมกับหมาของแซม พอเห็นสัตว์ประหลาดของพวกม้อกหมาบีเกิลของแซมก็กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดไปต่อสู้กัน แซมกับหมายเลข 6 ฆ่าม้อกตาย มาร์คกลับใจขโมยกล่องที่เก็บได้จากโรงงานมาให้จอห์น จอห์นกับหมายเลข 6 เอาหินมาต่อกันหินเปล่งแสงแล้วก็แตกสลายไปแต่ทำให้ทั้งคู่รู้ที่อยู่ของพวกที่เหลือ จอห์นบอกลาซาราจากนั้นก็ออกเดินทางไปกับหมายเลข 6 โดยมีแซมและหมาบีเกิลที่ยังไม่ตายตามไปด้วย

PS อยากรักกับชาวลอเรียน เพราะถ้าชาวลอเรียนรักใครแล้วมันจะคงอยู่ตลอดไป 5555

 

 

 

Sanctum(2011)

 

ที่ปาปัวนิวกินี จอชลูกชายของแฟรงค์นักดำน้ำสำรวจถ้ำชื่อดังมารับคาร์ลกับวิคตอเรีย คาร์ลเป็นนายทุนออกเงินสำรวจถ้ำ แฟรงค์กับจูดส์ที่เป็นบัดดีดำน้ำลงไปถึงจุดที่ยังไม่เคยมีใครเข้าถึงมาก่อน แต่ขากลับท่ออากาศของจูดส์เกิดมีปัญหา แฟรงค์พยายามช่วยแต่จูดส์ไม่รอด ที่จอชเห็นจากภาพคือพ่อปล่อยให้บัดดีตาย จอชโกรธเลยจะปีนกลับขึ้นด้านบน

ตอนนั้นเกิดพายุกระหน่ำจนน้ำท่วมลงไปในถ้ำ เจ้าหน้าที่แจ้งให้รีบออกจากถ้ำแต่วิทยุสื่อสารใช้การไม่ได้ จอชที่ปีนจนเกือบถึงปากทางกลับลงไปช่วยพ่อ ระหว่างนั้นหินเกิดถล่มทำให้กลับไปทางเดิมไม่ได้อีก ลูโกหนึ่งในทีมได้รับบาดเจ็บสาหัสไปต่อไม่ไหว แฟรงค์เลยจับลูโกกดน้ำจนตาย แฟรงค์ตัดสินใจพาพวกที่ติดอยู่ออกไปทางที่เพิ่งสำรวจ แฟรงค์ให้วิคติเรียใช้ชุดดำน้ำของจูดส์แต่วิคตอเรียไม่ยอม ฟรงค์ให้วิคตอเรียลดช่องแคบเป็นคนสุดท้าย ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าวิคตอเรียติดคนที่อยู่หลังวิคติเรียจะตายหมด ทั้งหมดลอดช่องแคบมาได้วิคตอเรียมีติดขัดนิดหน่อยแต่ก็รอดมาได้

จอร์จลูกน้องของแฟรงค์เกิดป่วยขึ้นมา จอร์จรู้ตัวว่าไม่รอดยอมเสียสละไม่ไปต่อเพราะรู้ว่าจะเป็นตัวถ่วง จอร์จบอกกับจอชว่าจริงๆแล้วแฟรงค์เป็นคนดีมากถ้าได้รู้จักกับแฟรงค์จริงๆ พอไปถึงหน้าผาที่ด้านล่างเป็นน้ำเชี่ยวจอชปีนข้ามไปเกี่ยวเชือกอีกฝั่งได้สำเร็จ วิคตอเรียไต่เชือกข้ามไปแต่บังเอิญผมไปเกี่ยวกับรอก วิคติเรียใช้มีดจะตัดผมแต่ดันไปตัดถูกเชือกขาด วิคตอเรียตกและจมน้ำหายไป

แฟรงค์ จอชและคาร์ลตัดสินใจกลับทางเดิม แฟรงค์เอาถังอากาศถังสุดท้ายบอกจะไปสำรวจ จอชคิดว่าแฟรงค์จะไม่กลับมา คาร์ลดำตามแฟรงค์ไปและแย่งถังอากาศจากแฟรงค์ แฟรงค์กลับมาอยู่กับจอช จอชเจอขี้ค้างคาวทั้งคู่เลยปีนตามร่องออกไปจนกระทั่งเจอช่องอากาศและซากรถถังแต่ปีนขึ้นไปไม่ถึง ระหว่างสำรวจจอชเจอคาร์ลที่กำลังหิวพร้อมกับศพของวิคตอเรียและสิ่งของที่ลอยมาติด แฟรงคืเจอถังอากาศสำรอง แฟรงค์ถูกคาร์ลทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บที่ปอด คาร์ลดำน้ำหนีไป จอชไม่ยอมทิ้งพ่อ แฟรงค์บอกให้จอชพาลงน้ำและทำแบบที่แฟรงค์เคยทำกับลูโกเพราะถ้ายิ่งอยู่นานจอชจะตายไปด้วย จอชตัดใจจับพ่อกดน้ำ

จอชใช้ถังออกซิเจนดำออกไปอาศัยแสงจากเขี้ยวไฟฉายที่แฟรงค์ดัดแปลงและให้เป็นของขวัญ ระหว่างทางจอชเจอศพของคาร์ลที่ไปไม่รอด พออากาศหมดจอชสูดอากาศตามซอกผนังถ้ำจนออกมาถึงทะเลแล้วก็จบด้วยเสียงบรรยายของจอชที่ว่าเพิ่งได้รู้จักพ่อจริงๆตอนอยู่ในถ้ำทำให้รู้แล้วว่าแฟรงค์เป็นคนดีถ้าได้รู้จักกับแฟรงค์จริงๆ

เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยเจมส์ คาเมรอนคนสร้างไททานิค(คนอื่นกำกับ) มีแต่คนบอกว่าไม่สนุก ถ้าดูเอาสนุกมันออกจะน่าเบื่อเพราะทั้งเรื่องมีแต่น้ำ ถ้ำ ความมืด แต่บรรทัดฐานคนเรามันต่างกันหรืออาจเพราะเป็นคนสนุกได้ในสิ่งที่คนอื่นเค้าไม่สนุกด้วยมั้ง เรื่องนี้นำเสนอสัญชาตญาณการเอาตัวรอดออกมาได้ดีนะ  ถ้ามองจากมุมจอชตอนแรกๆแฟรงค์ออกจะเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ปล่อยให้บัดดีตาย แต่เค้าก็อธิบายแล้วว่าถ้าเสียอากาศเท่ากับคุณเสียชีวิตไปแล้ว ที่แฟรงค์ถอดหน้ากากของตัวเองนี่เป็นเรื่องที่เสี่ยงมากแล้วต้องเลือกว่าจะตายคนเดียวหรือตายสองคน

ตอนแฟรงค์ฆ่าลูโกก็มองได้อีกคือยังไงลูโกก็ไม่รอด ถ้าไม่กดน้ำลูโกอาจตายทรมานกว่านั้นเพราะต้องอดตายหรือถูกน้ำท่วมตาย ตอนที่แฟรงค์บาดเจ็บแฟรงค์บอกกับจอชว่าให้ช่วยพ่อที นั่นน่าจะหมายถึงช่วยให้พ่อทรมานน้อยที่สุด ถ้ายิ่งจอชอยู่นานจอชก็จะไม่รอดไปด้วย นับว่าเรื่องนี้แฟรงค์เป็นคนที่ตัดสินใจได้ดีที่สุด สรุปถ้าจะดูเอาแอคชันพระเอกเก่ง อึด หล่อ กล้ามเป็นมัด ตื่นเต้นผจญภัยสุดขอบโลกก็ไม่ควรดูเรื่องนี้ จบ….

 

 

 

 

Feast of Love(2007)

 

เฮนรี สตีเวนสัน(มอร์แกน  ฟรีแมน)อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ขอลาพักเพราะเสียใจที่ลูกชายเสพยาเกินขนาดจนตายโดยที่เฮนรีไม่รู้มาก่อนว่าลูกชายติดยามารู้ตอนที่ตำรวจโทรมาบอกว่าลูกตายแล้ว เฮนรีอยู่กับเอสเทอร์ภรรยาที่พยายามพูดให้เฮนรีกลับไปสอนอีกครั้ง

เฮนรีชอบไปดื่มกาแฟที่ร้านของแบรดลีย์(เกร็ก คินเนียร์) แบรดลีย์แต่งงานกับแคทเทอรีน(เซลมา แบลร์)ได้หกเดือน แคทเทอรีนเจอกับเจนนี(สตานา คาทิค)และเริ่มตกหลุมรักกันโดยที่แบรดลีย์ไม่ได้สนใจแต่เฮนรีสังเกตเห็น แคทเทอรีนเกลียดหมาแบรดลีย์พาแคทเทอรีนไปที่สถานรับเลี้ยงสุนัข แคทเทอรีนตั้งชื่อหมาตัวนึงว่าแบรดลีย์แบรดลีย์เข้าใจไปเองว่าแคทเทอรีนเลือกตัวนี้เลยแอบไปรับเลี้ยงแล้วเอาไปฝากที่บ้านพี่สาวเพื่อให้กับแคทเทอรีนในวันเกิด แคทเทอรีนไม่พอใจที่แบรดลีย์ไม่เข้าใจเลยเก็บของออกจากบ้านไปอยู่กับเจนนี

แบรดลีย์มานั่งปรับทุกข์กับเฮนรี โคลอี(อเล็กซา ดาวาลอส)มาขอสมัครงานที่ร้าน ออสการ์(โทบี เฮมิงเวย์)ตกหลุมรักโคลอีเลยช่วยพูดจนแบรดลีย์รับโคลอีไว้ ออสการ์พาโคลอีไปที่บ้านจากนั้นก็มีอะไรกันพ่อของออสการ์กลับมาไล่โคลอีออกจากบ้าน ออสการ์เก็บของออกจากบ้านมาขออาศัยที่บ้านเพื่อนโคลอี ทั้งสองคนฝันอยากมีบ้านแต่รายได้ไม่พอเพื่อนของโคลอีเลยแนะนำให้ถ่ายหนังโป๊ขาย โคลอีปรึกษากับเฮนรีเฮนรีให้ตัดสินใจเอง โคลอีแวะดูดวง หมอดูบอกว่ามองไม่เห็นอนาคตของออสการ์ โคลอีตัดสินใจกลับไปคุยเรื่องแต่งงานกับออสการ์

แบรดลีย์ไปเอาหมาคืนจากบ้านพี่สาวต่อมาได้เจอและตกหลุมรักอีกครั้งกับกับไดอานา(ราดา มิทเชล)นายหน้าขายบ้านที่แวะมาดื่มกาแฟ ไดอานามีอะไรกับเดวิด(บิลลี เบิร์ค)ที่แต่งงานแล้ว แบรดลีย์ขอไดอานาแต่งงานและย้ายบ้านมาอยู่ติดกับเฮนรี ไดอานาตกลงและเลิกกับเดวิด เดวิดบอกว่าไดอานาจะทำร้ายแบรดลีย์เพราะไดอานาไม่ได้รักแบรดลีย์จริงๆ ถ้ารักไดอานาจะไม่มีคนอื่นระหว่างที่คบกับแบรดลีย์ ไดอานาแต่งงานกับแบรดลีย์ ในงานแต่งงานโคลอีขอให้เฮนรีรับเป็นลูกบุญธรรมแต่เฮนรีไม่ได้ตอบ

ไดอานาใส่เสื้อของเดวิดไปงาน ภรรยาของเดวิดรู้เรื่องเลยเลิกกัน ต่อมาไดอานาเจอเดวิดที่ย้ายออกมาไดอานากลับไปคืนดีกับเดวิด แบรดลีย์ผิดหวังในความรักอีกครั้งเลยตัดนิ้วตัวเอง เฮนรีพาส่งโรงพยาบาลแล้วแบรดลีย์ก็มีความรักใหม่อีกครั้งกับหมอ โคลอีกับออสการ์แต่งงานกัน หกเดือนต่อมาแบรดลีย์กลับมาเป็นเพื่อนกับทั้งแคทเทอรีน เจนนี ไดอานาและเดวิด โคลอีท้องลูกของออสการ์ แต่ออสการ์หัวใจวายฉับพลันระหว่างเล่นบอล ตอนนั้นมีงานพอดีทำให้ส่งโรงพยาบาลไม่ทัน

หลังงานศพของออสการ์เฮนรีกับเอสเทอร์ไปเยี่ยมหลุมศพลูกชาย จากนั้นเฮนรีได้คุยกับแบรดลีย์ทำให้รู้ว่าโคลอีรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องกับออสการ์แต่โคลอีก็เลือกที่จะแต่งงานและมีลูกกับออสการ์ เฮนรีเจอพ่อของออสการ์ที่จะมาทำร้ายโคลอีที่หน้าบ้าน เฮนรีไล่ไปและรับโคลอีเป็นลูกบุญธรรม โคลอีตอบตกลง

เรื่องนี้เขียนบทดีมากๆ ชอบมุมกล้องถ่ายออกมาแล้วหนังดูสบายตามากๆถึงฉากอีโรติกจะเยอะแต่ประเด็นมันอยู่ที่เนื้อหา แนวๆ Love Actually อาจจะไม่แฮปปีเอนดิงได้แบบนั้น แต่ก็ลงตัวในทุกๆคู่ หนังดูง่ายมีมอร์แกน ฟรีแมนเป็นคนดำเนินเรื่องหลักๆเหมือนกับหนังถ่ายทอดชีวิตในรูปแบบต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเฮนรี รวมทั้งเรื่องของเฮนรีเอง ชอบตรงที่เฮนรีกลับมาเล่าเรื่องต่างๆโดยที่เอสเทอร์เป็นคนรับฟัง นับว่าเอสเทอร์นี่แหละแบบอย่างของคู่ชีวิตที่แท้จริง บทสนทนาในเรื่องก็ดีมาก เช่น เฮนรีปลอบแบรดลีย์ว่าแคทเทอรีนแค่ตกหลุมรักหลังจากที่แต่งงานแต่อยู่ๆก็มีคนโผล่เข้ามาโดยที่ไม่อาจจะเพิกเฉย แบรดลีย์ถามว่าคุณรู้ได้ไง เฮนรีตอบว่าผมอยู่ตรงนั้นตอนพวกเค้าเจอกันคุณก็อยู่ ฯลฯ

ดูจบแล้วได้คิดอะไรหลายๆอย่าง บางทีเรื่องเล็กๆก็ใหญ่ได้ แคทเทอรีนถามแบรดลีย์ว่าตาเธอสีอะไรแบรดลีย์กลับตอบไม่ได้ โคลอีแรกๆดูเหมือนผู้หญิงใจง่ายแต่ตอนหลังกลายเป็นน่านับถือที่เธอกล้าที่จะรักทั้งที่รู้ว่าอาจจะไม่ได้จบลงอย่างสวยงามแต่อย่างน้อยชีวิตนึงก็ได้รักและได้รับความรักล่ะเนอะ แม้แต่แบรดลีย์ที่ผิดหวังซ้ำซากจนถึงขั้นทำร้ายตัวเองก่อนได้เจอกับรักที่แท้จริง ชีวิตก็งี้แหละถ้ามันไม่ใช่ฝืนไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่เจ็บกันทั้งสองฝ่าย และอีกมากมายในรายละเอียด สรุปว่าเป็นอีกเรื่องที่ชอบ

 

 

 

 

รักมันใหญ่มาก(2011)

 

เป็นเรื่องสั้น 4 เรื่องของเด็กม.ปลายที่ต่างก็มุ่งหน้ามาดูคอนเสิร์ตบิ๊กเมาท์เทนที่มีพาราดอกซ์มาเล่น ประมาณแต่ละเพลงทำให้คนฟังคิดถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมา เริ่มจากเรื่องแรกโบ้ท(เอ็มดี)รุ่นน้องที่ชอบพี่ฝน(สายป่าน)สาวสวยประจำโรงเรียน โบ้ทอาสาขับรถไปส่งสายป่านที่บ้าน(ขับกันข้ามจังหวัด) ระหว่างทางฝนก็โปรยสเน่ห์ไปเรื่อย  พอมาถึงจุดชมวิวที่มีทะเลหมอกในตอนเช้า ระหว่างรอฝนก็สรรหาเกมนั่นนี่มาเล่นจนโบ้ทคิดไปเองว่าต้องได้…..แน่ๆ สุดท้ายโบ้ทถูกหลอกให้ถอดๆๆๆๆทีละชิ้นจนหมดแล้วฝนก็ชิ่งขับรถหนีไป แล้วฝนก็กลับไปรับเพื่อนไปดูคอนเสิร์ต ตอนเช้าพวกทัวร์แสวงบุญมาเจอก็อายกันไปไม่รู้จะปิดบนหรือปิดล่าง

เรื่องที่สองเป็นเรื่องของปลา(ไอด้า)ที่ถูกไบรท์(เมาส์ บีโอวาย)ตามจีบจนคบเป็นแฟนกัน แล้วไบรท์ก็จูบลาไปเรียนต่อเมืองนอก ทั้งคู่ก็คุยกันทางเนตไบรท์ก็บอกให้รอๆๆๆตลอด แต่มีวันนึงพี่สาวของปลาเห็นไบรท์นั่งอยู่กับผู้หญิง ปลากลับมาคุยกับไบรท์ ไบรท์ก็ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและบอกให้รอจนกระทั่งไบรท์กลับมา ปลาขึ้นคอนเสิร์ตร้องเพลงด่าและขว้างของที่ไบรท์เคยให้ใส่หน้าไบรท์ ไบรท์ก็เดินจากไป<<<<อะไรกันเนี่ย????

เรื่องที่สามที่เกิดที่โรงเรียนนาฏศิลป์นาวคิดว่าโย(อเล็กซ์)จะนอกใจไปชอบรุ่นน้อง นาวเลยแกล้งประชดเดินควงคนอื่น แกล้งคุยโทรศัพท์กับคนอื่นเสียงดังเวอร์ๆให้โยได้ยิน ว่าแล้วโยก็โกรธจริงๆ นาวก็ปรึกษาแอนเพื่อนรักหาวิธีง้อโยด้วยการแปะกระดาษที่ปากแทนคำพูด นาวชวนโยไปดูคอนเสิร์ตบิ๊กเมาท์เทนแต่โยขอคิดดูก่อน นาวง้อโยจนหมดความอดทนเลยบอกเลิกทำเป็นจะไปคบคนอื่น โยเริ่มมีปฏิกิริยาแต่ก็ยังไม่คืนดีกัน นาวบอกแค่ล้นเล่นโยบอกกับนาวว่าอย่าทำเป็นเล่น ไม่ชอบเป็นของเล่นของใครเพราะสำหรับโยรักมันใหญ่มาก แล้วก็แยกย้ายต่างคนต่างเล่นมิวสิคกันไปจนตัดมาที่งานคอนเสิร์ต โยตามมาแล้วก็แฮปปี

เรื่องสุดท้าย<<ฝากความหวังไว้กับเรื่องนี้เลย หยก(เก้า)กับเอื้อ(โม)เป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แล้วเอื้อก็บอกไม่ได้คิดกับหยกแค่เพื่อนจากนั้นก็คบกันเป็นแฟน ก็มีหวานๆบ้างวันนึงหยกจูบเอื้อ เอื้อโกรธเพราะคิดว่าหยกมาคบเพราะแค่นี้แล้วก็เถียงกันใหญ่โตจากที่หยกถามว่าเคยจูบกับใครรึยัง เอื้อก็ถามกลับว่าไม่ถามเลยล่ะว่าเคยมีอะไรกับใครรึยัง หยกก็ถามกลับไปว่าแล้วเอื้อมาขอเป็นแฟนทำไม แล้วก็ห่างๆกันไปจนกระทั่งเอื้อมาเห็นรุ่นน้องมาขอหยกเป็นแฟนแล้วรุ่นน้องก็จูบหยก เอื้อตามมาปรับความเข้าใจแล้วก็คุยกันว่าเป็นแฟนกันคงไม่รอด เอื้อบอกตั้งแต่คบกันมีความสุขแค่วันเดียวคือวันที่เป็นแฟนกันวันแรกแต่หยกบอกมีความสุขทุกวัน แล้วก็เลิกเป็นแฟนกลับมาเป็นเพื่อนกันเพราะมึงทำได้กูก็ทำได้ ตัดมาที่งานสองคนมานั่งฟังเพลงด้วยกันในระยะไกลจากเวที

บ.เดียวกับที่สร้างสุดเขตฯ ส่วนตัวยังไม่โดนอ่ะเรื่องนี้ อาจจะไม่ใช่วัยด้วยมั้งไม่ค่อยเข้าใจมุมมองความรักแบบเด็กๆ งงๆอยู่ว่าเด็กมัธยมสมัยนี้จูบกันเป็นเรื่องปกติเลยเหรอเนี่ย!!!! เนื้อหาอ่อนมากในความรู้สึกส่วนตัว มันไม่มีที่มาที่ไป เรื่องแรกก็โอเคสายป่านแค่จะแกล้งโปรยสเน่ห์หลอกเด็ก เรื่องที่สองนี่ไม่เข้าใจตกลงไบรท์นอกใจจริงๆกลับมาแล้วโกหกว่ายังไม่กลับหรือว่ายังไง แล้วก็แอบคิดเหมือนพี่สาวปลาอ่ะที่บอกให้น้องไปกินหญ้าซะ เออ…นั่งรออะไรตั้งนานกว่าจะคิดได้ว่าควรเลิก แล้วพอจะเลิกก็ง่ายจัง ไม่คิดจะถามเหรอว่านอกใจจริงป่าวหรือที่ผ่านมาอาจจะเข้าใจผิดไปเอง

เรื่องที่สามก็อืม…นะ อารมณ์ผู้หญิง แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ แล้วผู้ชายมันขี้งอนไปป่าว? มาคิดได้ทีหลัง อ๋อ….เค้าให้เหตุผลไว้ว่าสำหรับเค้ารักมันใหญ่มาก(เกินไปมั้ยน้อง) เรื่องสุดท้ายนี่เหมือนจะไปได้ดีแต่ก็ยังไม่โดน เหตุผลยังอ่อนเกินไป ชอบแค่ตอนเลิกแล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันอันนี้ซึ้งพอได้

 

 

 

สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก(2010)


น้ำแอบชอบพี่โชน(มาริโอ)ตั้งแต่อยู่ม.1 พี่โชนอยู่ม.4 ตอนแรกน้ำยังดำ แว่นบ้านๆอยู่กับกลุ่มเพื่อนหน้าตาต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อนๆของน้ำเอาหนังสือพิชิตใจรุ่นพี่มาอ่านแล้วลองทำตามเริ่มตั้งแต่เขียนชื่อผ่านดวงดาว สะกดจิต ให้ของแทนใจแต่เหลวหมด(เพราะอากาศมันร้อน) พ่อของน้ำที่ทำงานอยู่อเมริกาสัญญาว่าถ้าสอบได้ที่ 1 จะส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ แต่ตอนนั้นมันดูเกินเอื้อมมากสำหรับน้ำทั้งเรื่องพี่โชนเรื่องสอบ

ม.2 น้ำยังคงเปลี่ยนตัวเองสารพัดดัดฟัน ตัวเริ่มขาวขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนๆกลุ่มเดิม ครูอิน(ตุ๊กกี)ชวนกลุ่มน้ำเล่นละครเวทีเรื่องสโนไวท์ น้ำได้เป็นนางเอกเพราะภาษาอังกฤษดีที่สุด(ดีอยู่วิชาเดียว) พี่โชนมาเป็นฝ่ายศิลป์ ตอนซ้อมพระเอกเกิดท้องเสียพี่โชนเลยมาเล่นแทนน้ำตกใจเกือบตกเวทีแต่พี่โชนจับมือไว้ทัน วันงานน้ำเศร้าที่พี่โชนไม่มาดูละครเพราะวันนั้นพี่โชนต้องไปรับรางวัลชนะการประกวดถ่ายภาพ

ม.3 ท็อปเพื่อนสนิทพี่โชนย้ายมาเรียนด้วย ท็อปก็ป๊อบไม่แพ้โชนจนสาวๆตีกัน เดือดร้อนครูอินต้องหาดรัมเมเยอร์ใหม่ ครูอินเสนอน้ำ หลังจากงานนั้นน้ำก็ป๊อปขึ้น ท็อปขอน้ำเป็นแฟน หลังจากนั้นน้ำก็เริ่มไปเที่ยวกับพวกพี่โชนจนไม่มีเวลาให้เพื่อนเหมือนเดิม ประมาณสวยแล้วแยกวง

งานวันเกิดน้ำได้รู้ว่าท็อปกับโชนตกลงกันไว้ว่าจะไม่ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ท็อปแอบหอมแก้มน้ำหลังจากนั้นน้ำก็ขอร้องไม่ให้ท็อปมายุ่งอีกเพราะน้ำมีคนที่ชอบแล้ว ท็อปขอร้องไม่ให้โชนจีบน้ำเพราะทำใจไม่ได้ น้ำกลับไปดีกับกลุ่มเพื่อน ต่อมาน้ำสอบได้ที่ 1 เลยตัดสินใจเดินไปบอกว่าชอบพี่โชนแต่สายไปแค่อาทิตย์เดียว พี่โชนเป็นแฟนกับพี่ปิ่น(ที่เคยช่วยน้ำตอนถูกแกล้ง)ไปแล้ว น้ำก็มึนเดินตกสระจากไปแบบเศร้าๆ พี่โชนได้เข้าทีมฟุตบอลต้องย้ายไปกรุงเทพคืนนั้นเลย ที่แท้พี่โชนก็ชอบน้ำมาตลอด ยังเก็บช็อคโกแลตที่ละลายไว้ ถ่ายรูปน้ำแทบจะทุกอิริยาบถ ก่อนไปพี่โชนเอาสมุดเล่มนั้นมาวงหน้าบ้านน้ำ

9 ปีผ่านไปพี่โชนเลิกเป็นนักฟุตบอลหันมาเป็นช่างภาพ ส่วนน้ำก็กลายเป็นดีไซน์เนอร์ชื่อดังมาออกรายการ ทางรายการถามถึงที่มาว่าทำไมถึงสวยได้ น้ำเลยเล่าว่าเพราะแอบชอบซัมวัน เลยเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่าง แล้วโชนก็ออกมาเซอร์ไพรซ์กลางรายการ น้ำถามพี่โชนว่าแต่งงานหรือยัง พี่โชนบอกรอคนกลับจากอเมริกาอยู่….. จบ

เรื่องนี้ชอบอ่ะ มีซีนซึ้งน้ำตาจะไหลอยู่ 2 ซีน อันแรกตอนน้ำกลับมานั่งกอดคอร้องไห้+เพลงกับกลุ่มเพื่อน โอ๊ย…ซึ้ง เพื่อนกันยังไงก็คือเพื่อน ซึ้งอีกทีตอนสมุดภาพของพี่โชน พี่แกเล่นถ่ายรูปน้ำเก็บไว้หมด จะละลายตอนคำบรรยายใต้ภาพนี่แหละ>>> หนังสือตลกดี อยากบอกน้ำว่า ทำสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น, “เหมือนเดิม”หมายถึงน่ารักเหมือนเดิม, จับมือน้ำครั้งแรกต้องรีบปล่อยเพราะกลัวคนสงสัย ต้นไม้ปลูกโคตรยากแต่ดันบอกเพื่อนฝากมาให้ เพราะปากมันแข็ง, ……..จังหวะของเราไม่ตรงกัน ฯลฯ เฮ่อ…….. บวกกับเพลง “สักวันหนึ่ง” เข้าไปอีก

อีกสิ่งเล็กๆแต่แอบยิ่งใหญ่ในความรู้สึกคือพี่โชนแมนโคตรๆเพื่อนรักขอไม่ให้จีบน้ำ พี่โชนก็ไม่ทำทั้งที่น้ำมาบอกว่าชอบแล้ว ณ จุดนั้นพี่โชนเอาใจไปหมดเลย มีเพื่อนแบบพี่โชนนนนนนนนร้ากตายเลย คนมันเป็นคู่กันอ่ะสุดท้ายมันก็กลับมาหากันจนเจอเอง ชอบอีกอันตรงคำตอบของน้ำ ที่บอกว่าพี่โชนเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้น้ำเลือกใช้ความรักในด้านดี เป็นแรงผลักดันให้น้ำทำตัวเองให้ดีขึ้นจนกลายเป็นน้ำทุกวันนี้<<<<นี่แหละความรักแบบสร้างสรรค์ 

PS เพลงประกอบเพราะอ่ะ ชอบเพลงนี้มากๆ มาตั้งนานแล้ว

 

 

 

น้ำตาลแดง(2010)


แบ่งออกเป็น 3 เรื่องแต่มีเรื่องเกริ่นนำถึงที่มาของน้ำตาลแดงด้วยเรื่องของโอเด็ตที่ไปพักที่รีสอร์ทเต้แต่ห้องมีปัญหา ระหว่างรอเต้หน้าต่างห้องมีคนเอากาแฟมาเสริฟ โอเด็ตขอเปลี่ยนเป็นน้ำตาลแดงเพราะมันหวานนุ่มและหวานนานกว่าน้ำตาลปกติ แล้วก็คุยๆๆๆกันเรื่องเซ็กส์โอเด็ตเล่าวว่าสามีเป็นคนเจ้าชู้เหมาหมดทั้งคนรับใช้ไม่เว้นแม้แต่หลาน พอดึกฝนตกห้องหลังคารั่วโอเด็ตเลยคอเคล็ดตอนเข็นเตียง ต่อมาก็ตามเต้มาดูแล้วเต้ก็นวดคอให้ นวดๆไปโอเด็ตก็ถอดแล้วบอกจะเป็นอะไรไปถ้าผู้หญิงจะมีอะไรกับคนแปลกหน้าบ้าง เต้ก็เตือนสตินิดนึงให้คิดให้ดีว่าทำไปเพื่อประชดใครรึเปล่า เพราะพอถึงตอนเช้าผลของมันจะแตกต่างกัน แล้วก็ตัดไปที่อีกวันโอเด็ตเช็คเอาท์ เต้ก็เริ่มเปลี่ยนมากินน้ำตาลแดงบ้าง

 

โสบนเตียง

เสี่ยเบนซ์โบราณ(ปั๋ง)เอาลูกไปฝากที่บ้านพ่อกับแม่แล้วมาหานักศึกษา(ครี) ชวนกันไปกินข้าว ไปเที่ยวมาต่อในรถก่อนจะมีคนมาส่องไฟขัดจังหวะ สุดท้ายก็ไปจบลงที่โรงแรม วันต่อมาเรื่องก็หักมุมตรงที่ครีก็คือแม่ของลูกพี่ปั๋งนั่นแหละ 55555 ในรถลูกบอกอาทิตยห์หน้าให้พามาค้างบ้านย่าอีก แล้วสองสามีภรรยาก็ยิ้มๆกันแบบมีเลศนัย

 

รักต้องลุ้น

ต่ายกับโจ๊กเป็นแฟนกันแล้วต่ายก็ชวนโจ๊กแวะที่บ้านตอนพ่อแม่ไม่อยู่ ระหว่างนั้นก็เล่นเกมตอบปัญหาใครแพ้ถอดกันไปจนกำลังจะเริ่ม……โจ๊กหาถุงยางไม่เจอ กลายเป็นว่ามันเป็นหนังซ้อนหนังอีกที คือเค้ากำลังถ่ายเรื่องน้ำตาลแดงกันอยู่ แล้วก็เล่นต่อสองคนทะเลาะกันเรื่องต่ายโกรธที่โจ๊กเปรียบเทียบกับนางเอก AV แต่ตอนหลังก็จบลงบนเตียง ต่อมาพ่อแม่ต่ายกลับบ้านมาเจอชั้นในกับซองถุงยาง พอพ่อกับแม่เปิดประตูเข้ามาต่ายก็ขอโทษแล้วในเรื่องก็สั่งคัต

 

ปรารถนา

อุ้มทำงานเป็นหมอนวดแผนโบราณอยู่ที่ตึกเดียวกับร้านสักบนถนนข้าวสาร ช่างสักที่พาฝรั่งขึ้นมานวดก็เลยนวดบ้าง ก็นวดกันไปมาแบบถึงเนื้อถึงตัวแล้วแยกย้ายแต่อุ้มอารมณ์ค้างเลยเก็บไปจัดการกับตัวเองในห้องน้ำต่อ ขากลับอุ้มเลยแวะใช้บริการร้านสักบ้าง จากนี้ไปก็เป็นหนังเงียบ…. ก็ไม่เงียบซะทีเดียวมีตัดให้ฟังเพลงที่ป้าเจ้าของร้านนวดเปิดคลอตอนนั่งคิดถึงตัวเองอดีตไปด้วย เพลงประมาณว่าหลับตาฝันถึงสิ่งที่ปรารถนา ตัดกลับมาที่ร้านสักเค้าพูดได้ทั้งคู่นะแต่ไม่พูดกันใช้นิ้วไล่ๆๆไปเรื่อยว่าจะสักตรงไหนจนมาหยุดอยู่ตรงนั้น แล้วก็ถอด โกน ใส่ถุง(มือ)สักกันไปตามขั้นตอน แต่สักๆไปช่างเกิดร้อนมั้งเลยถอดเสื้อ พอเสร็จนางเอกก็แต่งตัวลูบหัวแมวสองสามทีแล้วก็เดินยิ้มสูบบุหรี่ออกไป

 

ชอบนะเพราะมันอาร์ตดี ถ้าไม่ไปมองในแง่อีโรติกแบบนั้นเป็นหนังที่ภาพสวย แสงสวย ชอบมุมกล้องมาก บทสนทนาในเรื่องมันแฝงอะไรไว้ให้สมองน้อยๆได้คิดต่อ หนังใช้ภาพกับบทสื่อออกมาได้ดีอ่ะ ชอบนางเอกเรื่องรักต้องลุ้นน่ารักดี ชอบลุคแบบนี้เป็นการส่วนตัว(ชอบผู้หญิงพูดชัดหมายถึงเสียงไม่ง้องแง้งอ่ะ) เสียดายเล่นเรื่องนี้แล้วมันติดภาพ น่าจะไปเกิดกับหนังค่าย GTH 

 

 

 

127 Hours(2010)


เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของแอรอน ราลสตัน(เจมส์ ฟรังโก)ที่ชอบผจญภัย ราลสตันออกเดินทางสู่แคนยอนแลนด์ จากนั้นก็ปั่นจักรยานต่อไปเรื่อยๆจนทำลายสถิติเวลาที่ลงในไกด์บุคได้สำเร็จ แอรอนระหว่างทางเจอกับนักท่องเที่ยวเมแกนและคริสตีที่กำลังหลงทาง แอรอนเสนอนำทางพาสองสาวข้ามช่องแคบที่ด้านล่างเป็นน้ำซึ่งน่าตื่นเต้นประทับใจมากสำหรับสองสาว ก่อนแยกกันคริสตีกับเมแกนชวนแอรอนไปงานปาร์ตี

แอรอนปีนเขาเที่ยวต่อแต่เกิดพลัดตกลงไประหว่างช่องแคบแล้วมีหินอีกก้อนหล่นลงมาทับแขนขวาของแอรอนไว้จนไปไหนไม่ได้ แอรอนทั้งผลัก ดึง ดัน ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด แอรอนรื้อของจากกระเป๋าออกมาเพื่อดูว่าใช้อะไรได้บ้าง ในนั้นมีอาหารนิดหน่อย น้ำหนึ่งขวด กล้องดิจิตอล กล้องถ่ายวีดีโอ เชือกสำหรับปีนเขา ไฟฉายและมีดพกที่เป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ แอรอนจับเวลาที่นาฬิกาและใช้มีดแซะหินแต่ก็ไม่สำเร็จ เวลาผ่านไปเรื่อยๆระหว่างนั้นแอรอนก็ถ่ายวิดีโอไปด้วย อาหารหมด น้ำก็หมดจนต้องดื่มปัสสาวะตัวเอง

แอรอนเริ่มจินตนาการถึงน้ำ ถึงงานปาร์ตีแล้วก็เริ่มเห็นภาพหลอน เริ่มคิดถึงเรื่องราวของตัวเอง สมัยเด็ก แอรอนโทษตัวเองที่ก่อนมาไม่ยอมรับโทรศัพท์จากแม่(21 สายไม่ได้รับ) คือแอรอนค่อนข้างเป็นคนนึกถึงแต่ตัวเอง ไม่ไปงานแต่งงานน้องสาว มีแฟนก็ทำพังเอง จากนั้นแอรอนก็เห็นภาพทุกคนที่รู้จักมานั่งมองแอรอน

สุดท้ายแอรอนตัดสินใจหักกระดูกแขนและค่อยๆตัดแขนตัวเอง<<<ช่วงนี้สยองไม่ค่อยกล้ามองเต็มๆ พอหลุดออกมาได้แอรอนถ่ายรูปเก็บไว้ จากนั้นก็ยังไม่จบยังต้องไต่เขา เดินข้ามทะเลทรายไปจนเจอครอบครัวที่มาเที่ยวช่วยเรียกฮ.กู้ชีพมาช่วย ตอนจบแอรอนได้แต่งงานมีลูกแต่ก็ยังชอบปีนเขาอยู่ แต่ทุกครั้งที่ไปแอรอนจะทิ้งโน้ตบอกไว้เสมอ

หนึ่งในหนังที่เข้าชิงออสการ์  คนสร้างคนเดียวกับ Slumdog Millionaire ชอบ Slumdog เป็นการส่วนตัวเลยติดตามผลงานต่อ  127 Hours ถึงจะได้แค่เข้าชิงหลายรางวัลแต่ไม่ได้รางวัลดูแล้วก็ไม่ผิดหวัง คนไม่ชอบหนังแนวนี้ดูแล้วอาจจะหลับไปเลย หนังทำออกมาค่อนข้างอาร์ต บางช่วงเป็นภาพ 3 ช่อง ใช้วิธีตัดภาพสลับไปมาหลายมุม มีทั้งกล้องหลักและกล้องแคนดิดของแอรอน มีภาพเบลอ มุมกว้าง มุมสูงซูมเข้าซูมออกได้อารมณ์ดี เจมส์ ฟรังโกเล่นอยู่คนเดียวในซอกเขาแทบทั้งเรื่อง มีคนจริงๆตอนต้นเรื่องกับท้ายเรื่อง นอกนั้นเป็นคนในจินตนาการมาแทรกเป็นระยะๆ แต่หนังก็เอาอยู่นะ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวตัดแขนทิ้งก็รอดแต่หนังมันก็มีอะไรให้ติดตามมากกว่านั้น เวลาคนเราใกล้ตายหรือเจอเหตุการณ์คับขันนี่มันทำให้คิดอะไรได้หลายๆอย่าง อยู่ๆก็มองเห็นสิ่งที่เคยมองข้ามมาตลอดชีวิต อืม…นักแสดงเล่นดีสมกับที่ได้เข้าชิงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

อีกนิดนึงชอบเจมส์ ฟรังโกตั้งแต่เล่นเป็นแฮรี ออสบอร์น(Green Goblin)เรื่อง Spider Man แล้ว ชอบผู้ร้ายมากกว่าพระเอกเสมอมาและคงชอบไปอีกเรื่อยๆ แฮรีก็เป็นอีกหนึ่งคนที่รักแมรี เจนไม่น้อยกว่าสไปเดอร์แมนหรอก เค้าแค่ถูกบังคับให้ร้าย ก็สไปเดอร์แมนไปฆ่าพ่อเค้าตายก่อนนี่นา

 

 

 

True Grit(2010)


พ่อของแมทตี รอส(ไฮลี สเตนเฟลด์)ถูกทอม เชนีย์(จอช โบรลิน)ฆ่าตายชิงเอาทองและม้าไป หลังจากจัดการศพพ่อแมทตี(อายุ 14)อยากแก้แค้นเลยว่าจ้างให้เจ้าหน้าที่รูสเตอร์ คอกเบิร์น(เจฟ บริดเจส)ตามล่าตัวเชนีย์ เท็กซัสเรนเจอร์ลาโบฟ(แมทท์ เดมอน)ที่ตามล่าเชนีย์มานานก็อาสาล่าตัวเชนีย์เหมือนกัน แมทตีไปเรียกร้องเงินค่าประกันจากคนดูแลม้าจนได้เงินมาก้อนนึงใช้ซื้อม้าและไว้เป็นค่าจ้างคอกเบิร์น

แมทตีขี่ม้าตามคอกเบิร์นกับลาโบฟข้ามแม่น้ำจนคอกเบิร์นใจอ่อนยอมให้แมทตีตามไปด้วย ลาโบฟโกรธเลยขอแยกทางไป แมทตีกับคอกเบิร์นเดินทางไปเจอกับชายสวมหนังหมี(จริงๆคือเนด เพพเพอร์ลูกพี่ของเชนีย์)บอกทางผิดๆ จนไปเจอกับสองโจรที่บาดเจ็บ คอกเบิร์นถามจนรู้เรื่องเชนีย์ ตอนหลังคอกเบิร์นคิดได้ว่าคนที่สวมหนังหมีก็คือเนด

ระหว่างทางคอกเบิร์นเผลอยิงถูกลาโบฟเข้า จากนั้นทั้งสามคนก็กลับมาร่วมทางกันอีกครั้งลาโบฟกับคอกเบิร์นก็เถียงกันไปตลอดทาง คอกเบิร์นขอเลิกไม่ทำงานให้แมทตีต่อ(จริงๆเป็นแผน) แมทตีเดินทางต่อไปกับลาโบฟ แมทตีเจอกับเชนีย์ที่ลำธาร เชนีย์ใช้ปืนของพ่อยิงเชนีย์ เชนีย์จับตัวแมทตีไว้เรียกให้คอกเบิร์นปรากฎตัวออกมาไม่งั้นจะฆ่าแมทตี คอกเบิร์นบอกแมทตีไม่ได้มีความสำคัญอะไร เนดสั่งให้เชนีย์เฝ้าแมทตีไว้เพราะม้ามีไม่พอและห้ามทำร้ายแมทตีแต่เชนีย์ไม่ฟังกำลังจะฆ่าแมทตี ลาโบฟมาช่วยไว้ฟาดเชนีย์ด้วยด้ามปืนบอกทั้งหมดเป็นแผนของคอกเบิร์น

คอกเบิร์นไปเผชิญหน้า 1 ต่อ 4 กับพวกเนด พอดวลกันคอกเบิร์นเก็บพวกเนดไปหมดแต่คอกเบิร์นพลาดท่าตกม้า ลาโบฟยิงเนดตายจากระยะไกล เชนีย์ฟื้นขึ้นมาสู้กับลาโบฟ แมทตีตกลงไปในปล่องคล้ายๆถ้ำถูกเถาวัลย์พันขาไว้ขยับไปไหนไม่ได้(แอบนึกถึง 127 Hours) คอกเบิร์นปีนลงมาช่วยแต่แมทตีถูกงูกัด คอกเบิร์นช่วยดูดพิษออกให้และรีบพาแมทตีขี่ม้าไปหาหมอโดยบอกกับลาโบฟว่าจะมาช่วยทีหลัง ระหว่างทางม้าของแมทตีเหนื่อยจนไปต่อไม่ไหว คอกเบิร์นยิงม้าตาย(ตรงนี้เศร้า)เพื่อไม่ให้ม้าทรมาน คอกเบิร์นอุ้มแมทตีเดินต่อไปจนถึงบ้านคนแล้วคอกเบิร์นก็บ่นว่าตัวเองเริ่มแก่เกินไปแล้ว

25 ปีต่อมา แมทตีที่เสียแขนไปหนึ่งข้าง(อายุประมาณ 40)ลงจากรถไฟมาเล่าต่อว่าคอกเบิร์นอยู่ด้วยจนเธอปลอดภัยหลังจากคืนนั้นคอกเบิร์นก็หายไป แมทตีพยายามติดต่อคอกเบิร์นเพื่อจะจ่ายค่าจ้างจนกระทั่งได้รับบัตรเชิญจากคอกเบิร์นงานแสดงของคณะละครสัตว์ แมทตีมาถามหาคอกเบิร์นแต่คอกเบิร์นตายไปเมื่อ 3 วันก่อน แมทตีเอาศพคอกเบิร์นกลับไปฝังรวมกับครอบครัว ตอนจบแมทตีมายืนที่หน้าหลุมศพคอกเบิร์นแล้วก็เดินจากไป…..จบ

เป็นหนังรีเมคที่ดัดแปลงจากนิยาย คนไม่ชอบหนังแนวAustralia อาจจะไม่ชอบเรื่องนี้ แต่ส่วนตัวชอบอีกแล้ว(เป็นคนชอบอะไรง่าย)ไม่เคยอ่านหนังสือไม่เคยดูเวอร์ชันเก่าเลยไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไร ไฮลี สแตนเฟลด์ที่เล่นเป็นแมทตีเล่นดีอ่ะ บทส่งมากๆเป็นเด็กปากจัดที่คิดอะไรเกินตัวแต่ก็ทำได้สำเร็จ ถูกเสนอชื่อเข้าชิงนักแสดงสมทบหญิงแต่ไม่ได้เพราะแพ้ให้กับเมลิซา ลีโอจาก The Fighter